วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฉันคือ "ลูกเสือสงขลาวัฒนา"


ภาพแทน
 สิ่งที่น่าจดจำยิ่ง และลืมเลือนไม่ได้สำหรับนักเรียนสงขลาวัฒนา ก็คือ การได้เรียนวิชาลูกเสือ...

ลูกเสือ,เนตรนารี โรงเรียนนี้ ต้องผ่านกิจกรรมสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การเข้าค่ายพักแรมและการเดินทางไกล  ซึ่งสถานที่ประจำที่ผมและเพื่อน ๆ ในโรงเรียนไปกันทุกปีคือ  กลางป่าในแถบตำบลบ้านดินลาน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอหาดใหญ่ออกไปราว 10 กิโลเมตร

ทุกครั้งที่มีการเข้าค่ายพักแรม..อาหารประจำที่ต้องพกพานอกจากข้าวสารแล้วก็คือ ปลากระป๋องและมาม่า

ผมมีเพื่อนหลายคนที่เป็นลูกหลานทหาร พวกนี้ส่วนใหญ่มักติดเท่ห์ ..แน่นอนว่า ในวันนั้น แก๊งค์ลูกหลานทหารไทย มีหรือจะพลาดเรื่องนี้ ...แต่ละคนมันต้องครบ ทั้งเครื่องเคราจำพวกยศ,เหรียญตราสารพัน,สายนกหวีด,เข็มขัดพร้อมกระติ๊กน้ำแบบทหารอันเบ่อเริ่ม สายเอี๊ยมทหารพร้อมมีดสั้นพกชอลิ้วเฮียงประจำตัว เสียบบนสายเอี๊ยม(นัยว่าแทนลูกระเบิด)..  บ้างเล่นพกดาบสปาต้ายาวลากพื้นมาก็มี..
ภาพแทน

เมื่อคำสั่งให้ “หน้าเดิน!” นั่นหมายถึง กองกำลังที่น่าเกรงขามกำลังเดินก้าวออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว...

อา.... ภาพมันช่างสง่างามสมเกียรติไม่น้อย  หลายคนซอยเท้าขะมักเขม้น เน้น ซ้ายขวาซ้าย กันจนอาแป๊ะขายของชำหน้าโรงเรียน พาลอยากจะยืนตะเบ๊ให้ด้วยซ้ำ!

แต่ให้ตายเถอะ... หลังกองกำลังเดินข้ามทางรถไฟยังไม่ทันถึงวัดหาดใหญ่ใน ไอ้“ซ้ายขวาซ้าย” ที่พรึ่บพรั่บมาไม่นาน ตอนนี้กลายเป็น ป่ายซ้าย..ป่ายขวากันพัลวัน

เหงื่อกาฬไหลพลั่กแทบทุกส่วน เพราะเครื่องแบบลูกเสือที่แม่อุตส่าห์ซื้อให้ใหม่นั้นมันทั้งร้อน ทังคันอะไรขนาดนี้...

แถมเป้ที่แบกอยู่ข้างหลังเมื่อแรกเดินที่ดูหลังตรงแน่ว...บัดนี้เริ่มค่อมบ้าง..เริ่มแอ่นแทบจะหงายหลังบ้างเริ่มมีให้เห็นกันประปราย

เดินไปนึกอิจฉาหมวกของพวกเนตรนารี .. ดูคุณเธอยกขึ้นมาพัดที่ไรมันชื่นใจดีแท้ ๆ  เพราะหมวกทั้งใหญ่ ทั้งกักลมได้ดีกว่าพวก ไบเล่ย์แดง ของลูกเสือรุ่นใหญ่แบบผมแยะ

เจ้าไม้ง่ามที่ครั้งแรกมือขวาถืออย่างองอาจเริ่มกลายเป็นเครืองมือสำหรับเกี่ยวหม้อ,แขวนกระทะกันให้ควั่ก..

และเมื่อระยะทางการเดินเมื่อเลยผ่านพ้นวัดหาดใหญ่ในมาจนถึงป่าช้ามุสลิมที่เรียกว่า กุโบว์  ก็จะเริ่มเข้าสู่เขตทรหดอย่างแท้จริง เพราะทางข้างหน้าคือ  ถนนดินแดงทอดยาวเต็มไปด้วยฝุ่นตลบอบอวน ..มองซ้ายก็ทุ่งนา..มองขวามีแต่วัวยืนยิ้มและทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา

ทางเดินในยุคนั้นเมื่อเราผ่านพ้นเขตวัดหาดใหญ่ใน จะมีทางเดินที่เป็นเพียงดินแดงเพื่อเดินไปยังตำบลบ้านดินลาน เรื่องร่มไม้ระหว่างทางอย่าได้หวัง เพราะซ้ายขวาที่เต็มไปด้วยทุ่งนา และดวงอาทิตย์ยามสิบโมงบนที่โล่ง ๆ นั้น นับว่าเป็นเครื่องทดสอบความอึดได้อย่างดี

จะสงสารก็บรรดาพวกสุดหล่อ..ที่พกความเท่ห์ ทั้งเป้ทหารใบเขื่อง,สายเอี๊ยมทหารที่มีมีดสั้นติดไว้แถมสปาต้าเล่มยาวเกือบจะลากพื้น , อย่าให้บอกว่าตอนนี้นอกจากจะ “หล่อไม่ออก” แล้ว ยังเริ่มมีอาการ “หล่อเริ่มเอียง”ให้เห็นเป็นระยะ ๆ



ต้นทุ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhodomyrtus tomentosa Wight
ชื่อสามัญ : Rose Myrtle, Downy Myrtle, Hill Goosebuerry


หลังจากพกพาความเหนื่อยล้า..มาถึง บ้านดินลาน  ซึ่งเป็นทีดินโล่งว่างผสมผเส ป่าละเมาะและผลไม้ประจำถิ่นรสหวานที่หากินได้ฟรี ๆ นามว่า "ลูกทุ"หรือ"ลูกโทะ"ในสำเนียงหล่อ ๆ แบบปักษ์ใต้" ซึ่งกระจัดกระจายพอหากินได้แถว ๆนั้น

ที่ดินแห่งนี้เป็นที่ๆ คุณลุงสมนึก ท่านซื้อไว้เพื่อจะเตรียมการสร้างโรงเรียนใหม่

บนที่ดินจะมีอาคารขนาดชั้นเดียวอยุ่เพียงหนึ่งหลังซึ่งสำหรับไว้ให้บรรดาครูที่มาหรือเจ้าหน้าที่ๆ แวะมาได้ใช้เป็นที่พักและสำหรับการประชุม ฯลฯ

หลังจากการเดินทางมาถึงก็จะมาสู่กระบวนการ หาที่กางเต้นท์นอน กัน...

การกางเต้นท์ เป็นอะไรที่วุ่นวายและสนุกสนานไม่น้อย  ...เพราะมันบ่งบอกถึงภูมิปัญญาและกึ๋นว่าจะสร้างที่หลับที่นอนได้ดี หรือ ห่วยขนาดไหน

เพราะเต้นท์ในยุคนั้น มิใช่เต้นท์สำเร็จรูปแบบในปัจจุบัน ทว่ามันคือผ้าใบที่เป็นเพียงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนั้นการขึ้นโครงเต้นท์ต้อง ใช้ไม้ที่หาจากธรรมชาติ

เราต้องขุดหลุมสำหรับปักไม้โครงเต้นท์ อย่างน้อย สามจุด คือหน้า,กลาง และหลัง และที่สำคัญมันต้องลึกพอที่จะสามารถรับน้ำหนักของเต้นท์ที่ทำจากผ้าใบซึ่งมีน้ำหนักไม่น้อยเลยที่เดียว เพราะขืนไม่ลึก ยามดึก ๆ เกิดใครนอนริมไปพิงเอาเต้นท์ คืนนั้น เต้นท์ก็จะกลายเป็นผ้าใบคลุมฝูงลิงไปในบัดดล..

การแบ่งลูกเสือออกเป็นหมู่จะมีการใช้สัญลักษณ์ของสัตว์ป่ามาตั้งชื่อหมู่ไว้ต่าง ๆ กันเช่น รูปช้างบ้าง,เสือบ้าง,กระต่ายบ้าง หรือไม่ก็กวาง ฯลฯ แต่ที่ทราบกันดีก็คือเหล่าเนตรนารีคุณเธอไม่ค่อยแฮปปี้นักถ้าเกิดจับฉลากได้ธงสัญลักษณ์หมู่เธอ เป็นรูปหมู่ "แรด" !...

ลูกเสือหนึ่งหมู่จะมีลูกลิง เอ๊ย ลูกเสือราว 6-7 คน ..และที่สำคัญ ใน 6- 7 คน จะมีหัวหน้าหมู่หนึ่งคน และรองหัวหน้าหมู่อีกหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่ ภาระกิจการใช้สมองจะอยู่ที่สองคนนี้ ดังนั้น เพื่อให้การได้รับเกียรติของทั้งสองคนสมประสงค์ การสร้างเต้นท์และสารพัด มักจะตกกับสองคนนี้...

หมู่ผมก็เช่นเดียวกัน... พวกเราให้เกียรติและยำเกรงทั้งหัวหน้าหมู่และรองอย่างแข็งขันดังนั้น... เมื่อเริ่มสร้างเต้นท์ เราทุกคนก็ลงความเห็นว่า การขุดนั้นต้องใช้สมองอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องให้หัวหน้าหมู่ขุดหลุมหน้า รองหัวหน้าขุดหลุมหลัง ส่วนหลุมกลาง พวกเราก็จะร่วมมือกันขุด 1 หลุม นั่นหมายถึง หลุมกลางใช้คนขุดถึง 4 คน ! (ดูไม่ค่อยเอาเปรียบเลยนิ)

ผมมักจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำกับข้าวและหุงข้าว เพราะอาหารแต่ละมื้อ จะต้องส่งให้กับทางครูเป็นผู้ตรวจและให้คะแนน  แน่นอน ผมไม่เคยพลาด และผ่านทุกครั้งยกเว้น  “ถั่วเขียวต้ม”
ถั่วเขียวต้ม เป็นอะไรที่สร้างปัญหาให้กับหมู่ผม..เพราะความอวดดีของรองหัวหน้าหมู่

จำได้ว่าเมื่อผมเริ่มล้างถั่วเขียวและต้มมันเพื่อกินในเวลาดึก ๆ ระหว่างเข้าเวร.....เสียงครูนิยม (สอนศิลปะ)เดินแวะมาถามไถ่

“ทำอะไรกินน่ะเธอ”
“ต้มถั่วเขียวครับ...เดี๋ยวเสร็จแล้วผมไปเรียกนะครู” ผมตอบอย่างภาคภูมิใจ เพราะอยากโชว์ฝีมือถั่วเขียวยามดึก

เผลอแว่บไปทุ่ง(ห้องน้ำ)แป๊บนึง ก็รีบกลับมาดูถั่วเขียวที่กำลังเดือดปุด ๆ แต่ที่มันน่าสังเกตก็คือ...เฮ้ย! ,ต้มตั้งนาน..ไหง๋มันยังแข็งแป๊กงี้หว่า.... ผมคิด พร้อมกับเริ่มถามเพื่อนว่า น้ำตาลทรายทีวางตรงนี้ไปไหน?

“อ๋อ..กูใส่ลงไปหมดแล้ว”  เสียงไอ้ชาย รองหัวหน้าหมู่ เจ๋อหน้าเข้ามาตอบอย่างภาคภูมิใจ
“มึงใส่หมดถุงเลยเหรอ!?”  ผมถามย้ำเสียงสูง
“อือ”  เสียงมันตอบ พร้อมกับทำหน้างง  ๆ เหมือนจะถามว่ามันผิดตรงไหน?

“เสื.....ชิบเลย...มึง”
ผมลืมตัวด่าท่านรองหัวหน้าที่สาระแนใส่น้ำตาลทรายลงไปทั้ง ๆ ที่ถั่วเขียวยังแข็งปั๊กอยู่
“ถั่วมันยังไม่สุก..มึงใส่น้ำตาลแบบนี้...กูต่อให้เช้ามันก็ยัง แด...ไม่ได้ “  ผมบ่นดังลั่นเต้นท์
“ทำไมจะกินไม่ได้..กูกินให้ดู”  มันตอบพร้อมกับเอาช้อนตักถั่วเขียว เป่าพรวด ๆ ใส่ปากเคี้ยว ได้ยินเสียงกุบ ๆ
“มัน ๆ ดี “  (ดูมันตอบ)

สุดท้ายเพื่อมิให้คืนนั้นต้องกลายเป็นคืนแห่งเสียงและกลิ่นอบอวลเต้นท์ เพราะท้องอืด...ผมจึงต้อง แยกน้ำกับถั่วออกแล้วเริ่มล้างถั่วเพื่อต้มใหม่ แน่ละ เที่ยวนี้ถั่วนิ่มแล้วแต่ความหวานหายไปแยะ..เพราะน้ำตาลที่มีเหลือเทเก็บไว้มันไม่พอ

จากสี่ทุ่มกว่า..จำได้ว่า ครูนิยมได้กินถั่วต้มเอาเที่ยงคืนเศษ พร้อมเสียงบ่นเล็ก ๆ ว่า ผมต้มถั่วนานผิดมนุษย์แถมจืดไม่เอาอ่าว...  จำได้ว่าวันนั้นนึกเจ็บใจไอ้รองสังกะบ๊วย(เพื่อนรัก) อย่างแรง...แต่จนวันนี้ผมก็ยังรักมันมาก เหมือนเดิม... 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น